วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ครูตอนนั่งเฉย ๆ

ครูไปเล่นหลังวัด พอดีเพื่อนเก็บภาพไว้ เลยได้ภาพนี้มาฝากเด็ก ๆ ครับ

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คนเดียวก็เรียนครับ

วันนี้น้องไทน์ อยู่ชั้นป. 4 มาเรียนคนเดียว ครูฝึกก็พาเรียนครับ เชิญชมบรรยากาศ

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ที่ทำการถาวร พร้อมให้บริการแล้ว
















ห่างหายไปนานครับ สำหรับบันทึกของโรงเรียนชีวีเป็นสุข เนื่องจากผมมัวไปง่วนอยู่กับการก่อสร้าง และการตระเตรียมอุปกรณ์การเรียนรู้สำหรับเด็ก ๆ ผ่านไปหลายเดือน เราก็ได้อาคารเรียนถาวรแล้ว ผมมีภาพมาฝากครับ ช่วงนี้ผมกำลังเตรียมสื่อการเรียน เป็นการเรียนภาษาอังกฤษครับ สำหรับทุกเพศทุกวัยที่สนใจเลย ตั้งแต่ 7 ขวบขึ้นไปครับ

ข่าวดีอีกข่าวหนึ่งครับ สำหรับน้อง ๆ นักศึกษาที่เตรียมไปเป็นครู ครูทุกสายครับ โดยเฉพาะสายภาษาอังกฤษ โรงเรียนของเราทำกิจกรรมให้เด็ก ๆ มาเรียนภาษาอังกฤษในวันเสาร์อาทิตย์ ๆ ละ 3 ชั่วโมงครับ ว่าที่คุณครูที่อยากจะมาลองวิชา หรือมาฝึกใช้วิชาที่ร่ำเรียนมาแบบไม่กดดัน ก็ขอเรียนเชิญได้ที่โรงเรียนของเราครับ ที่อยู่ที่กินสะดวกสบายครับ กินฟรี (กินข้าวก้นบาตร) อยู่ฟรี (นอนกุฏิส่วนตัว น้ำไฟ พร้อม) เราเราเพียงคราวละ 2 คนเท่านั้นครับ (แต่งานนี้เป็นงานอาสานะครับ ไม่มีค่าตอบแทน เหมือนผมเลย) ถ้าสนใจก็เขียนเรื่องราวส่วนตัวมาเล่าสู่กันฟังประกอบการคัดเลือกครับส่งมาที่ wla.info@yahoo.com

ปล. ต้องรีบหน่อยนะครับ เพื่อประกันความผิดหวัง

เชิญชมภาพบรรยากาศโรงเรียนของเราครับ

วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552

ห้องเรียนชีวีเป็นสุขหนึ่ง: ก้าวที่สองของโรงเรียนชีวีเป็นสุข

ไม่น่าเชื่อเลยนะครับว่า เราพูดถึงโรงเรียนชีวีเป็นสุขเมื่อธันวาคมปีที่แล้ว พอสิ้นเดือนมกราในปีรุ่งขึ้น เรากำลังจะมีห้องเรียนชีวีเป็นสุขของเราเอง นั่นหมายความว่าเด็ก ๆ จะได้ทำกิจกรรมต่อเนื่องในทุกสัปดาห์โดยไม่ต้องหยุดเมื่อมีการฝึกอบรมของศุนย์ฝึกฯ เหมือนที่ผ่านมาครับ วันนี้ผมมีรูปสถานที่ที่ในอนาคตจะเปลี่ยนเป็นห้องเรียนแสนสุขของเรา น้อง ๆ และคุณพ่อคุณแม่ลองดูรูปไปพลาง ๆ ก่อนนะครับ คาดว่าสงกรานต์นี้เราจะได้ใช้สถานที่แน่นอน

ภาพซ้ายนี้ แทนหนึ่งในความสุขของห้องเรียนชีวีเป็นสุขครับ

มองจากด้านหน้า

ถนนด้านหน้าห้องเรียน

ทางเข้าด้านหน้า

ถนนด้านขวามือ

ห้องเรียนจะอยู่ตรงนี้...มองเห็นเขามหาชัยลิบ ๆ

ถนนด้านหน้าห้องเรียกอีกมุมตรงข้ามเป็นโรงน้ำ

ถนนด้านซ้าย ตรงไปจะเป็นโรงปุ๋ย

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552

เราใช้ NLP ในกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก ๆ ที่โรงเรียนชีวีเป็นสุข

ผมเห็นคำว่า NLP ครั้งแรกเมื่อคราวที่ผมไปเข้าโรงเรียนสอนธุรกิจอยู่หนึ่งปี คราวนั้นผมดิ้นรนเพื่อพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในการนำเสนอการขายซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบเลย ผมเคยคิดแม้กระทั่งว่า "ให้ผมตายเสียดีกว่าที่จะไปขายของ" แต่ผมก็ไม่มีทางเลือก เมื่อผมไม่มีความสุขเลยกับการเป็นลูกจ้าง

ผมตกกระไดพลอยโจน ไปอยู่ในแวดวงนักขาย เพราะต้องการค้นหาตนเอง ผมอาจจะโชคร้ายกว่าคนอื่นที่คิดว่าตนเองเรียนจบปริญญาเอกแล้วจะรู้กว่าคนอื่นไปหมด ตอนแรกผมจึงไม่ยอมเรียนรู้จากคนอื่น เพราะความถือดีของตัวเองที่คิดว่าเขาเรียนไม่สูงเท่าเรา ความถือดีอันนี้ ผมจึงต้องถูก "ทุบ" มากกว่าคนอื่นในโรงเรียนเดียวกัน ผมไม่ยอมเรียนรู้จากคนอื่น จึงต้องไปหาหนังสือมาอ่านเอง หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมซื้อมาอ่านคือ "Unlimited Power" ของ Anthony Robbins ในนั้นมีคำว่า NLP น่าจะย่อมาจาก Neuro Linguistic Programming ถ้าผมจำไม่ผิด ครั้งแรกที่สายตาผ่านคำนี้ก็ไม่สะดุดตาเท่าไหร่

วันหนึ่ง ผมพิมพ์ชื่อ Anthony Robbins ลงใน Google ผลการค้นนำผมไปที่ Youtube ที่เป็นรายการของ Anthony ผมเลือกดูรายการหนึ่งที่โทนี่พูดต่อหน้าผู้ฟังกลุ่มเล็ก ๆ ในห้องสัมมนาแห่งหนึ่ง วิดีโอนั้นมีตัวหนังสือนั้นบอกว่า "หนึ่งในผู้ฟังนี้มีคนอื่นอัลกอร์ อยู่ด้วย" ผมเริ่มคิดว่านายโทนี่ ไม่ธรรมดาแน่นอน ผมจึงเริ่มศึกษาเรื่องราวของโทนี่มากขึ้น

จากการค้นคว้าทำให้ผมทราบว่า โทนี่เป็นหนึ่งในบรรดาผู้นำ NLP มาใช้ในวิชาชีพได้ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกคนหนึ่ง ผมจึงเริ่มศึกษามากขึ้นเรื่อง NLP โชคดีที่มีเอกสารที่ผมสามารถดาวน์โหลดจากอินเตอร์เน็ตได้อย่างเพียงพอที่จะนำความรู้นี้ไปใช้ได้ หนึ่งในนั้นคือหนังสือของโทนี่ที่ผมซื้อไว้เมื่อตอนอยู่โรงเรียนสอนธุรกิจ ผมกลับไปอ่านหนังสือเล่มนั้นอีกครั้ง คราวนี้ผมเข้าใจหนังสือเล่มนั้นได้ดีขึ้น

หลังจากที่ผม หันหลังให้กับโรงเรียนธุรกิจ เพราะไม่ใช่จุดหมายชีวิตที่ผมต้องการ ผมหันมาทำงานเพื่อคนอื่นนับจากปี 2549 จนกระทั่งปัจจุบัน ผมพเนจรมาเรื่อยจนมาถึงวัดป่ายาง มาบัดนี้ผมนำแนวความคิดเรื่อง "โรงเรียนชีวีเป็นสุข" มานำเสนอ "พ่อท่าน" พ่อท่านซื้อแนวคิดนี้โดยไม่มีเงื่อนไข และผมเองก็ไม่มีเงื่อนไข ผมจึงทำงานนี้ร่วมกับพ่อท่านได้อย่างไม่ต้องกังวลใจ

อย่างไรก็ตาม ความรู้ที่ได้จามากสมัยอยู่ในโรงเรียนธุรกิจก็ได้มาใช้จริง ๆ ในโรงเรียนชีวีเป็นสุขนี้ แต่ต้องขอเรียนท่านผู้อ่านให้ทราบ ณ ที่นี้ว่า ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่อง NLP ทางตรงกันข้าม ผมเป็นเพียงผู้เรียนคนหนึ่ง ดังนั้น ในโรงเรียนแห่งนี้ "ผมจึงเป็นผู้เรียนมากกว่านักเรียนของเราทุกคน"

เอาไว้โอกาสหน้าคงจะได้นำประสบการณ์การเรียนรู้ของผมเองเรื่อง NLP มาเล่าสู่ท่านผู้อ่านฟังในอนาคตครับ

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

พบเพื่อนเพิ่มขึ้น

สัปดาห์นี้ เป็นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่เด็ก ๆ ต้องงดเว้นกิจกรรมที่โรงเรียนชีวีเป็นสุข เนื่องจากทางวัดต้องใช้สถานที่ (ศาลาโรงธรรม) เป็นแหล่งจัดกิจกรรมเรื่องพลังงานทดแทน วันพระต้อยย้ายไปทำพิธีในอุโบสถ ส่วนกิจกรรมกลุ่มสัจจะฯ ก็ใช้สถานที่บริเวณลาดลัดและหน้าสำนักงานของศูนย์ฝึก กิจกรรมของนักเรียนโรงเรียนชีวีเป็นสุข ก็เลยเปิดโอกาสให้น้อง ๆ ไปเล่นตามใจชอบ ผมเลยมีโอกาสนั่งอ่านหนังสือและค้นเว็บไซท์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับโรงเรียนชีวีเป็นสุข

จากการอ่านหนังสือของคุณพิพัฒน์ พสุธารชาติเรื่อง "ไชลด์เซ็นเตอร์" ในหน้าคำนิยมของอาจารย์ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม ทำให้ได้พบชื่อโรงเรียนที่มีแนวทางการจัดกิจกรรมแบบเดียวกับ "โรงเรียนชีวีเป็นสุข" กำลังค้นหาอยู่ จึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปค้นหาต่อผ่านอินเตอร์เน็ต

โรงเรียนรุ่งอรุณ เป็นโรงเรียนแรกที่เข้าไปดู เห็นแล้วรู้สึกตื่นเต้นมาก เคยทราบมาว่า คนที่ทำงานเสียสละในแนวนี้ในสังคมมีอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ก็ไม่ทราบว่าจะเริ่มจากตรกไหนดี พอได้เงื่อนปมจากหนังสือเล่มดังกล่าวที่เพิ่มมีโอกาสเปิดอ่าน ทั้งที่จริง ๆ แล้วซื้อมาไว้นานแล้ว สงสัยตอนนั้นยังไม่พร้อม "ครูจึงยังไม่ปรากฏ" ตอนนี้พร้อมแล้ว จึงได้พบกับครูที่จะได้เข้าไปเรียนรู้ในโอกาสต่อ ๆ ไป ขอบคุณนักบุกเบิกผู้เสียสละทุกท่านที่ทำให้ "โรงเรียนชีวีเป็นสุข" มีเพื่อนร่วมเดินทางครับ

โรงเรียนต่อมาที่ได้ทราบจากแหล่งเดียวกันคือ "โรงเรียนเพลินพัฒนา" เมื่อเปิดเข้ไปดูเว็บไซท์นี้แล้ว บอกได้เลยว่า ดีใจเพิ่มขึ้นอีกเป็นสองเท่าครับ (หลวงพ่อบอกว่า ดีใจก็ให้สักแต่รู้ว่าดีใจ...สติมาทันครับเลยวางความดีใจได้ทัน) เห็นเนื้อหาเบื้องต้นแล้ว ก็มองเห็นแนวทางการทำงานของโรงเรียนชีวีเป็นสุขอยู่รำไร คิดว่าจะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญ เพื่อใช้เป็นแนวทางการจัดกิจกรรมของโรงเรียนชีวีเป็นสุขในอนาคตต่อครับอีกแหล่งหนึ่งครับ

สุดท้ายก็ขอขอบคุณผู้บุกเบิกทุกท่านอีกครั้งครับ รวมทั้งการเผยแพร่ข้อมูลผ่านระบบอินเตอร์เน็ตที่ทำให้ผมเข้าถึงได้สะดวกเช่นนี้

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

ให้เด็กเป็นผู้ริเริ่มสร้างสรรค์กิจกรรม

สองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาตรงกันวันพระ กิจกรรมเรียนรู้ของโรงเรียนชีวีเป็นสุขจึงเปลียนไปเป็นการไหว้พระสวดมนต์แทน ผลที่ได้คือเด็กเกิดอาการเบื่อไปตาม ๆ กัน แม้แต่จะให้เด็กเฝ้าดูความเบื่อก็เอาไว้ไม่อยู่ อาจเนื่องจากว่า "การเฝ้าดูความเบื่อ" อาจยากเกินไปสำหรับเด็ก เพราะแม้แต่ผู้ใหญ่บางคนก็ "ดูไม่เป็น"

ผู้ใหญ่อาจไม่สังเกตว่าทำไมเด็ก ๆ ถึงรู้สึกเบื่อเมื่อถูกสอน ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากผู้ใหญ่บางคนอาจจะยังไม่ตื่นจากยุคสมัยเมื่อตนเองเป็นเด็ก ต้องยอมรับว่าเมื่อ 40 ปีที่แล้ว เด็กสมัยนั้น "กลัวอุบายในการสอน" ของผู้ใหญ่มาก แต่เด็กสมัยนี้เขาไม่คิดแล้วว่าสิ่งนั้นคือ "อุบายในการสอน" เด็ก ๆ เขารู้แล้วว่าสิ่งนั้นเป็น "เรื่องผู้ใหญ่หลอกเด็ก" เราต้องยอมรับครับว่า เด็ก ๆ สมัยนี้ ผมหมายถึงเด็ก ป.1 ครับ ความคิดความอ่านก้าวหน้ากว่าสมัยเมื่อคุณพ่อคุณแม่ยังเด็ก เพราะข้อมูลข่าวสารและความรู้สมัยนี้ ไม่ได้อยู่ในกระดานชนวน หรือในหัวครูเหมือนสมัยก่อน เด็ก ๆ อ่านหนังสือเล่มเดียวกับที่ครูมาสอนเขา หรือพระมาสอนเขา หรือพ่อแม่มาสอนเขา ผมจึงทดลองให้เด็ก ริเริ่มคิดกิจกรรมที่เขาต้องการเรียนรู้เอง โดยผมที่ทำหน้าที่เป็นครูฝึก คอยสนับสนุนให้เขาได้ทำสิ่งที่เขาริเริ่มขึ้น โรงเรียนอื่นอาจทำไม่ได้ครับ แต่โรงเรียนชีวีเป็นสุขทำได้เพราะเราเรียนเพื่อรู้ครับ ไม่ได้เรียนเพื่อสอบได้

กิจกรรมสัปดาห์ที่ผ่านมา เด็กบอกว่า "อยากเล่น" ผมเลยจัดให้ครับ ผมได้แผ่นเกมส์ภาษาอังกฤษมาแผ่นหนึ่ง ผมทดลองให้เด็ก ๆ ผลัดกันเล่นโดยให้ออกเสียงตามก่อน แล้วให้เลือกคลิ๊ก ภาพที่ตรงกับความหมายของคำ เด็ก ๆ มีท่าทีสนุกครับ แต่เล่นได้สักชั่วโมงก็ออกอาการเบื่อ อาจจะเป็นเพราะเครื่องมีเครื่องเดียว เด็กต้องรอคิวนาน ตรงนี้เด็กก็ได้ฝึกการรอคอยเพิ่มเติมอีกเรื่องหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจครับ

เมื่อผ่านชั่วโมงไป ผมเอาเกมส์ที่โหลดมาจาก ฟังธรรมดอทคอม มาให้เด็กเล่น ๆ เป็นเกมฝึกคุณธรรมครับ ผลก็คือเด็กสนุก ๆ กับการแข่งกันว่าใครจะผ่านด่านได้มากกว่ากัน แต่อีกนั่นแหละ เด็กเบื่อที่ต้องรอครับ

เห็นไหมหละครับ ความทันสมัย ความสะดวกสบายที่เป็นผลมาจากการพัฒนาสมัยใหม่ เราก็ได้เด็กที่รอไม่เป็น ผมเคยให้เด็ก ๆ รอเพียงหนึ่งนาทีเท่านั้น เด็กทุรนทุรายมาก เราคงต้องฝึกกันต่อไปครับเพื่อสร้างจิตใจที่เข้มแข็งให้เด็ก ๆ ของเรา

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

หลักสูตรชีวีเป็นสุขทางอินเตอร์็เน็ต

เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมานี้ ผมมีโอกาสได้พูดกับน้อง ๆ นักเรียนชั้น ม.ุ6 ของโรงเรียนหัวไทรบำรุงราษฎร์ ที่เข้ามาอบรมที่ศูนย์ฯ วันนั้นผมได้รับมอบหมายให้พูดในหัวข้อ "การบริหารแบบอาริยะ" ซึ่งผมได้เตรียมเนื้อหาไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยออกแบบเนื้อหาให้เหมาะสมกับผู้นำเยาวชนที่เข้ามาอบรมครั้งนี้

ผมเริ่มต้นด้วยการแนะนำศูนย์ฝึกอบรมของเราให้น้อง ๆ ทราบ แล้วตามด้วยกิจกรรมที่ผมทำอยู่คือ "โรงเรียนชีวีเป็นสุข" ทั้งภาคเยาวชนและภาคชุมชน จากนั้นก็ตามด้วยการแบ่งปันเรื่องราวชีวิตส่วนตัวให้น้อง ๆ ทราบโดยสรุปว่า "ผมเป็นเด็กบ้านนอก ที่เข้ามาเสี่ยงโชคในเมืองหลวงตั้งแต่อายุ 15 ปี เหมือนกับคนบ้านนอกส่วนใหญ่ในสมัยนั้น ผมดิ้นรนอยู่ในเมืองหลวง 20 ปี จึงได้คำตอบว่า ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ จึงกลับหลังหันสู่ท้องทุ่ง แล้วทำงานที่ตนเองรัก แม้ไม่มีค่าตอบแทน แต่เราได้พบกับความสุขโดยตรง แบบไม่ต้องผ่านสื่อกลาง" เมื่อแบ่งปันเรื่องราวจบลง ผมก็เข้าเนื้อหาที่จำมาเล่าสู่้น้อง ๆ ฟัง

ชื่อเรื่องที่ได้นำเสนอในวันนั้นชื่อว่า "คุณลักษณะของผู้นำแบบอาริยะ" โดยเนื้อหาที่ผมนำมาบรรยายครั้งนั้นผมดัดแปลงมาจากงานของ Stephen R. Covey ชื่อ The Seven Habbits of Highly Effective People. ผมนอกกับน้อง ๆ ว่า "เราจะเป็นผู้นำแบบอาริยะได้ เราต้องมีคุณลักษณะทั้งหมด 3 มิติ คือ ชนะใจตนเอง ชนะใจผู้อื่น และเติมพลังชีวิตตนเองเสมอ"

ผมขยายความต่อไปว่า "ชนะใจตนเองเริ่มต้นด้วยวิธีคิดแบบเป็นไทยแก่ตัว แทนที่จะเป็นทาส เช่นแทนที่จะเริ่มต้นด้วยการคิดพึ่งคนอื่น ก็ต้องเปลี่ยนเป็นการพึ่งตนเอง แทนที่จะตำหนิคนอื่น โทษคนอื่น ก็ต้องมาเป็นผู้ที่รับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเอง" ผมเปรียบเทียบให้น้อง ๆ ฟังว่า "ในชีวิตนี้ หากเปรียบเสมือนเรือเดินสมุทร เราก็้เป็นคนขับเรือ ดังนั้นเราจึงต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่บนเรือลำนี้ด้วยตัวเองเต็มร้อย"

เมื่อคิดแบบไทได้แล้ว ต่อมาก็ต้องมีจุดหมายที่ผ่านการกลั่นกรองไว้แล้ว ผมขยายความให้น้อง ๆ ฟังว่า "เมื่อเราเป็นคนขับเรือ เราก็ต้องเป็นคนเขียนแผนที่เองว่าเราจะไป ณ ที่ใด และไปอย่างไร" ในขั้นตอนนี้ผมได้ฝึกให้น้อง ๆ คนหาสมบัติที่ซ่อนอยู่ภายในตนเองซึ่งผมนำเสนอวิธีการต่าง ๆ 10 วิธี ให้น้อง ๆ ไปลองฝึกขุดค้นและดึงความสามารถของตนให้ออกมา โดยผมย้ำกับน้อง ๆ ในตอนท้ายการฝึกว่า "ถ้าใครนำไปฝึกแล้วติดขัดอย่างไร หรือได้ผลอย่างไร หากจะนำมาแลกเปลี่ยนกันที่ โรงเรียนชีวีเป็นสุข จะได้ประโยชน์มากโดยเฉพาะกับตนเอง เมื่อเราเห็นตัวเองชัดเจนแล้ว เราจึงจะสามารถกำหนดได้ว่า "จุดหมายชีวิต" ของเราคืออะไร เมื่อเห็นจุดหมายแล้ว จึงเริ่มมาเขียนแผนชีวิต" การเริ่มเขียนแผนชีวิต ผมให้น้อง ๆ ชั่งน้ำหนักระหว่างความฝัน กับความจริงก่อน เพราะไม่ให้ความฝันเป็นแค่ฝันกลางวัน เพราะเขียนแบบเพ้อฝันที่ไม่อยู่บนพื้นฐานของทรัพยากรที่ตนเองมีอยู่ โดยเฉพาะทรัพยากรด้านจิตใจ ตรงนี้ผมบอกกับน้อง ๆ ว่า "ทรัพยากรภายนอกเป็นเรื่องรอง ที่สำคัญคือ หัวใจ ถ้าเราเทใจให้กับความฝันเต็มร้อย ผมกล้าเอาชีวิตเป็นประกันได้เลยว่า น้องก็มีโอกาสประสบความสำคัญเต็มร้อยในสิ่งที่ฝันเช่นกัน" ตอนท้ายผมได้บอกขั้นตอนการวางแผนชีวิตอย่างง่าย ๆ 5 ขั้นตอน ให้น้อง ๆ ไปฝึกเขียนที่บ้าน เนื่องจากเวลาในชั้นเรียนนี้มีไม่พอ

ขั้นสุดท้ายการชนะใจตนเองได้แก่ ทำสิ่งที่สำคัญก่อน ผมอธิบายให้น้อง ฟังว่า "เมื่อเราได้แผนชีวิตแล้ว ในการเขียแผนปฏิบัติการรายสัปดาห์ จะเต็มไปด้วยกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย หากต้องการให้แผนได้ผล น้อง ๆ ต้องนำมาจัดลำดับความสำคัญก่อน โดยให้น้อง ๆ เอาบทบาทที่สำคัญเป็นหลักสัก 3 บทบาทมาทำให้ได้ในแต่ละสัปดาห์ เรื่องนี้ครูมักจะเปรียบเทียบกับการเรียงหินลงในถัง ถ้าจะให้บรรจุิหินลงในถังได้มาก ต้องเอาหินก้อนใหญ่ใส่ลงไปก่อน ชีวิตประจำวันก็เช่นกัน ต้องทำสิ่งที่สำคัญก่อน ส่วนเวลาที่เหลือค่อยเอากิจกรรมที่มีความสำคัญน้อยกว่ามาทำ"

ในวันนั้น ผมบรรยายมาถึงตอนนี้ เวลาก็หมด แต่ผมก็ได้ให้สัญญากับน้อง ๆ ว่า "ถ้าใครต้องการที่จะให้ผมเป็นโค้ชให้ผมยินดี แต่บอกไว้ก่อนนะว่าไม่ฟรี แน่นอน เงินซื้อความสำเร็จไม่ได้หรอก ถ้าต้องการความสำเร็จ ก็ต้องเอาใจมาลงทุน ผมเป็นโค้ชด้วยใจ ผู้มาเรียนก็ต้องเทใจแบบหมดหน้าตักเช่นเดียวกันครับ"

ยินดีผู้ที่ต้องการฝึกหลักสูตร ชีวีเป็นสุขทางอินเตอร์เน็ตที่จริงจังทุกคนครับ (ทุกคนที่มา 15 คนแรกเท่านั้น)